เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๕ พ.ย. ๒๕๕๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันพระ วงจรของมัน เห็นไหม ๘ ค่ำ ๑๕ ค่ำ เพื่อจะให้ประชาชนชาวพุทธเราได้ผ่อนคลาย ผ่อนคลายเพื่อหาจุดยืน ความเครียดถ้ามันเครียดตลอดไปมันก็ไม่ไหว ดูน้ำสิ เขายังต้องผ่อนให้แรงดันของน้ำมันผ่อนออกไป ถ้าไปกักเก็บไว้มากมันจะกัดเซาะพังหมด มันก็ต้องผ่อนออกไป กิเลสก็เหมือนกัน ลองได้อัดไว้ในหัวใจ มันจะเครียด มันจะหมักหมมในหัวใจ

ในวันพระวันเจ้ามีไว้ให้เราทำบุญกุศล แต่เราไม่มองกันตรงนั้น โลกมัวมองแต่วัตถุ มองวัตถุว่าทำไมเราต้องไปวัด เสียเวลาทำมาหากิน เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ถ้ามีโอกาสเราก็ไปวัด แต่ถ้าไม่มีโอกาส ในยามจำเป็นเห็นไหมเราก็ต้องบริหารจัดการของเรา

ดูสิ เวลาภาวนา “ศีล สมาธิ ปัญญา” ถ้ามีศีล ศีลคือความปกติของใจ ความคิดก็เหมือนเหรียญมันมี ๒ ด้าน มันอยู่ที่เหรียญเดียวกัน ความคิดดีและคิดชั่ว ถ้าความคิดเราไม่ทำแต่ความดี เราไม่คิดแต่สิ่งที่ดี เราก็ต้องคิดชั่วเป็นธรรมดา เหรียญมี ๒ ด้าน ด้านหนึ่งดีด้านหนึ่งชั่ว

นี้เหมือนกัน ถ้าเรามีศีล คือมีความปกติของใจ อย่างไรก็ให้มันกลางๆ ไว้ก่อน ให้กลับมายังที่ตั้งก่อน ถ้ามันทุศีล ศีลด่าง ศีลพร้อย ศีลขาด ศีลทะลุ เห็นไหม ศีลมันก็มีหลากหลาย ถ้าศีลขาดคือเรามีความผิดพลาดมันก็ขาดไป แต่ถ้าศีลมันด่างมันพร้อยเราก็แก้ไขของเรา แล้วทำให้เราปกติขึ้นมาให้ได้

“ศีล สมาธิ ปัญญา” ถ้าศีลมันไม่ปกติ เราจะทำอะไรผิดปกติ พอทำไปมันยิ่งออกไปไกล เรามองข้ามศีลกัน เวลาอยู่ป่าอยู่เขานี้ศีลสำคัญมาก เพราะอะไร เวลาเราออกธุดงค์ เห็นไหม ศีลจะทำให้เราเผชิญกับทุกๆ อย่างได้เลย เพราะศีลจะรักษาเรา ศีลจะคุ้มครองเรา

ถ้ามีศีลเป็นความปกติของใจ จะทำให้เรามีอยู่มีกิน เพราะเราจะไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ถ้ามีศีลเป็นความปกติของใจ ใจมันจะอบอุ่นแล้วมันจะไม่กลัวสิ่งใดเลย แล้วถ้าเราทำผิดพลาด พอเราทำผิดนิวรณธรรมมันก็เกิด แล้วมันก็อยู่ในหัวใจของเรา พอเราจะทำอะไรมันก็หวั่นไหวไปหมด เราหวั่นไหวเอง เราคลอนแคลนเอง แต่ถ้าเรามั่นใจของเรา ว่าเราทำไปด้วยความบริสุทธิ์ด้วยความถูกต้องของเรา เราก็มั่นใจมั่นคง นี่ล่ะความเพียรชอบ

ถ้าความเพียรไม่ชอบ พอเริ่มต้นทำงาน สิ่งที่ตอบสนองมา มันก็เป็นมิจฉา เป็นความผิดพลาดทั้งหมดเลย แต่ถ้าเป็นสิ่งที่มันชอบ เห็นไหม ความชอบธรรม แต่ความชอบธรรมนั้นมันทำได้ถึงที่สุดหรือยังไม่ถึงที่สุด หลวงตาท่านพูด เวลาประพฤติปฏิบัติแล้วมันละเอียดเข้าไป สิ่งที่ถือเคร่ง เห็นไหม มันก็เป็นวิธีการอันหนึ่ง แต่การถือเคร่งการยึดอันนั้นไว้ ถ้าผ่านไปแล้วมันก็เป็นบ้าอันหนึ่ง ทิฐิมานะเป็นบ้าอันหนึ่ง

“สัมมาทิฐิ” เราต้องมีทิฐิที่ถูกต้อง มีจุดยืนของเรา แต่ถ้าทิฐิมันขวางอยู่ มันก็จะไม่ละเอียดลึกลงไป ถ้ามันจะลงรายละเอียดลงลึกไป ทิฐินั้นมันต้องถอนกลับมา ดูสิ เวลาโมฆราช “เธอจงมองโลกนี้เป็นความว่าง แล้วกลับมาถอนอัตตานุทิฐิ” ความเห็นนั้นถูกต้อง เห็นว่าว่าง แต่จะต้องกลับมาถอนความว่างอันนั้น มันต้องอาศัยสัมมาทิฐิเป็นเครื่องดำเนินไป

อรหัตตมรรค อรหัตตผล เห็นไหม สิ่งที่เป็นอรหัตตมรรค ก็คือ “สัพเพ ธัมมา อนัตตา” สิ่งที่เป็นมรรคญาณ สิ่งที่เป็นการกระทำของมัน สัมปยุตเข้าไป วิปยุตคลายตัวออก อรหัตตมรรค อรหัตตผล มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ อรหัตตผลไม่ใช่นิพพาน อรหัตตผล ผลของมันคือสิ่งที่เรายังอธิบายได้ มันเป็นกิริยาเป็นการกระทำของมันเห็นไหม พอการกระทำมันถึงที่สุดแล้ว ผลของมันต่างหาก มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ นิพพานอันนั้นพ้นออกจากสมมุติบัญญัติทั้งหมด พูดถึงไม่ได้เลย เพราะถ้าใครยังพูดบอกวิธีการนั้นได้มันก็คือสมมุติหมด คือสมมุติบัญญัติขึ้นมา เพราะถ้าสมมุติบัญญัติมันก็ไม่ใช่วิมุตติ เพราะวิมุตติมันพ้นจากสิ่งต่างๆ ไปทั้งหมดแล้ว

สิ่งที่เกิดขึ้นมามันมาจากไหนล่ะ มันมาจากทาน ศีล ภาวนา มันมาจากการทำทานก่อน ทำทานคือสร้างบารมี สร้างสมบุญญาธิการ สร้างสิ่งที่เราแสวงหาเราต้องการ ถ้าเราไม่สร้าง เราไม่ต้องการสิ่งใดเลย เห็นไหม ผลของวัฏฏะ คนเกิดมานี้เป็นผลของวัฏฏะเหมือนสวะในน้ำที่น้ำมันพัดไป ผลของวัฏฏะมันก็พัดไปตลอด

สิ่งที่เป็นผลของวัตตะ แต่ถ้ามันทำสิ่งที่เป็นคุณงามความดี มันก็ทวนกระแส ชีวิตมนุษย์ก็เหมือนสวะที่มันยังลอยไปในกามโอฆะ มันพัดไปเราก็ทำตามมัน

การเกิดเป็นสวะมาจากไหน ดูสิ พวกหญ้าพวกวัชพืชมันเกิดมาจากไหน มันโดนน้ำกัดเซาะแล้วมันก็ไหลไปตามกระแสน้ำใช่ไหม ดูสิ วัชพืชมันเกิดจากดินหรือเกิดจากสิ่งต่างๆ พอเกิดขึ้นมาแล้วมันก็โดนน้ำพัดไป

การเกิดเป็นมนุษย์เป็นอริยทรัพย์ ถ้าเราทำสิ่งที่ดีก็จะเป็นประโยชน์กับเรา แต่ถ้าเราทำชั่วก็จะให้ผลเป็นความชั่ว สิ่งที่ได้เกิดขึ้นมาเห็นไหมเพราะเราทำแต่คุณงามความดี ผลของการเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์สมบัติเป็นอริยทรัพย์ แต่ถ้าเราเอาไปใช้ในทางบาป อกุศล เห็นไหม สวะที่มันไหลไปตามน้ำ มันไม่มีค่าอะไรเลย แต่ถ้ามันทวนกระแสล่ะ อย่างที่เราทำคุณงามความดีกัน มาวัดมาวา “ทาน ศีล ภาวนา” โลกเขาจะมองว่าเป็นการเสียหาย เป็นการเสียสละ เป็นการเสียเปรียบ

แต่ถ้ามองเป็นบุญกุศล เราให้เขา คือเราสร้างบุญญาธิการ แม้แต่การให้ทางกัน เวลาเราเดินสวนทางกันบนทางที่คับแคบ แล้วเราหลีกให้เขา อันนั้นก็เป็นบุญแล้ว แค่เราให้ทางเขาเราให้ความสะดวกกับเขา บุญก็เกิดแล้ว บุญเกิดจากผู้ที่ฉลาด มีการเสียสละ มีการให้โอกาสเขา ให้ความสุขให้ความสะดวกกับเขา แต่ถ้ามองแบบกิเลส เห็นไหม มันเสียศักดิ์ศรี มันทำไม่ได้ เราจะต้องเอารัดเอาเปรียบเขา นี่ไงเกิดเป็นมนุษย์เป็นอริยทรัพย์แต่ก็ทำแต่สิ่งที่เบียดเบียน แล้วมันจะสร้างบุญญาธิการ แล้วมันจะเป็นบารมีธรรมได้อย่างไร

ถ้าบารมีธรรม เห็นไหม เราเสียสละแล้วเราเห็นเขามีความสุข ดูสิ ดูจิตใจที่อ่อนนุ่ม จิตใจที่ควรแก่การงาน มันแค่เห็นสิ่งที่ไร้เดียงสา เห็นธรรมชาติ มันก็รื่นเริงมีความสุขของมัน มันเป็นสัจธรรม เหมือนดอกไม้แรกผลิ เหมือนกับดอกหญ้า เหมือนกับใบไม้อ่อนที่มันแตกขึ้นมา ชีวิตใหม่มันเป็นสัจธรรม มันมีเหตุมีผลมันมีปัจจัยขึ้นมามันถึงจะเป็นไปได้ ใจเราก็เหมือนกัน ถ้าใจเราดี เราไปเห็นแค่นี้เราก็มีความสุขแล้ว ไม่ต้องไปเห็นแก้วแหวนเงินทอง เราเห็นแค่ชีวิตใหม่ เราเห็นโลกเขามีความสุขจากการที่เราเสียสละ นี่ไงใจที่ควรแก่การงาน

มีทานแล้วมีศีลเป็นความปกติของใจ ดอกไม้ที่เป็นพิษ ถ้าสัตว์มันกินเข้าไปมันก็จะตาย ดอกไม้ที่เป็นพิษ ใบไม้ที่มีสารพิษ เห็ดมีพิษที่กินแล้วตาย แต่เห็ดที่เป็นประโยชน์ ใบไม้ที่มีประโยชน์ มนุษย์ก็จะเอามาเป็นอาหาร เห็นไหม มีศีลกับทุศีล โภคสมบัติเกิดเป็นมนุษย์แล้วทำดีทำชั่ว นี่ไงศีลเป็นความปกติของใจ เหมือนใบไม้ที่เป็นอาหาร ไม่เป็นพิษ เรากินเข้าไปมันก็จะเป็นประโยชน์กับเรา ความคิดของเราที่เกิดขึ้นมาเป็นโลกียธรรม “กุศล – อกุศล” ถ้าเป็นบาปอกุศล มันจะไปกว้านสิ่งต่างๆ เข้ามาทับถมใจของตนเอง

แต่ถ้าเป็นคุณงามความดีของเรา เห็นไหม ผู้ประเสริฐ คือประเสริฐที่นี้ ประเสริฐในหัวใจของเรา ถ้าใจเราทำสิ่งที่ประเสริฐขึ้นมาเราจะมีหลักมีเกณฑ์ของเรา เราจะมีจุดยืนของเรา เราจะไม่ไปตามกระแสโลก เพราะกระแสโลกมันจะพัดไป

คนเราที่เกิดมา ร่างกายมันเป็นโลก ร่างกายประกอบด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ มันเกิดจากกรรม เกิดจากสายบุญสายกรรมของพ่อแม่ เกิดจากไข่ของมารดาปฏิสนธิในครรภ์แล้วเกิดมาเป็นเรา แล้วเราก็อาศัยดินอาศัยอาหารที่กินเข้าไป สุดท้ายแล้วเราก็ต้องทิ้งร่างนี้ไว้ แต่ในชีวิตหนึ่ง สิ่งที่ตกผลึกในใจ สิ่งที่ได้ทำดีทำชั่วมาในหัวใจ อันนี้สำคัญ

เวลาเราทำขึ้นมา จิตที่ควรแก่การงานมันเห็นประโยชน์ มันทำได้ มันเสียสละได้ แต่ถ้าจิตที่ไม่เห็นประโยชน์ มันเสียสละไม่ได้ มันต้องยึดเข้ามาเป็นของของมัน สุดท้ายแล้วมันก็ไม่มีอะไรเป็นของของเราเลย ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด เวลาตายไปแล้ว ดูสิ เวลาไฟไหม้บ้าน เราจะต้องขนสมบัติออกจากเรือน แล้วสมบัตินั้นก็จะเป็นของเรา แต่ถ้าเราไม่ได้ขนสมบัติออกจากเรือน ไฟก็ไหม้บ้านไปหมดเลย

ชีวิตนี้กาลเวลามันกินเรา มันไหม้เราตลอดเวลา แล้วเราก็ตายไป จิตก็ออกจากร่างนี้ไป ไฟไหม้บ้านไหม้เรือนนี้ จิตคือพลังงานที่เผาผลาญร่างกาย ร่างกายเราก็เสื่อมสภาพไปเป็นธรรมดา แล้วคุณงามความดีนี้เราได้ขนออกไปไหม เราได้เสียสละไหม ถ้าเราได้เสียสละสิ่งต่างๆ ก็เหมือนกับเราได้ขนสมบัติออกไป ใจเป็นผู้เสียสละ ใจเป็นผู้รับรู้ เห็นไหม

เราทำบุญในปัจจุบันนี้ เราก็ทำบุญเพื่อเราเอง เราทำคุณงามความดีเพื่อเราเอง เราเกิดเราตายเรารู้เองว่าเราทำสิ่งใดอยู่ แต่ถ้าเป็นเรื่องศาสนธรรม จะบอกว่า ทำบุญแล้วให้อุทิศส่วนกุศลไป เราเห็นคนทุกข์คนยากเราอยากให้เขา เวลาคนนอนหลับ เราป้อนอาหารเขายังกินไม่ได้เลย สิ่งที่เราจะให้เขา แต่เขาก็ไม่รับหรอก ตอนเขามีชีวิตอยู่เราบอกให้เขาเสียสละให้เขาทำคุณงามความดีของเขา เขาก็บอกว่า เขาเสียเปรียบ เขาทำไม่ได้ แต่เวลาตายไป เห็นไหม อาหารมันคนละชนิดกัน

อาหารที่เรากินอยู่ในปัจจุบันนี้คืออาหารคำข้าวที่เราเจือจานกันได้ แต่เวลาตายไป ถ้าเป็นเทวดา อินทร์ พรหม เห็นไหม สมบัติของเราที่เราสร้างมา อาหารนี้เป็นทิพย์ เวลาตายไปเกิดเป็นผี เป็นเปรต หรือเป็นอะไรต่างๆ มันหิวมันโหยแต่ไม่เคยตาย มันจะต้องการส่วนบุญจากญาติโกโหติกาที่ทำบุญแล้วอุทิศส่วนกุศลมาให้ ยิ่งวันพระวันเจ้า วันเขาปล่อยมา แล้วถ้าญาติไม่ได้ทำให้ ไม่อุทิศส่วนกุศลไปให้ ญาติเราก็ทุกข์ยาก เราต้องรอเขา เขาจะทำให้หรือจะไม่ทำให้เรา เราก็ไม่รู้ แต่ถ้าเราทำบุญกุศลของเรา เราสร้างของเรา ใครจะทำให้เราหรือไม่ทำให้เราไม่สำคัญ เพราะเรามีสมบัติติดตัวเรามา เรามีเสบียงเรามีอาหารติดตัวเรามา เราทำของเราแล้ว ที่เขาบอกว่าเป็นผู้เสียเปรียบ เพราะเขาไม่เห็นของเขา

ผู้มีบุญกุศล ถ้าถึงเวลาวิกฤต ส่วนใหญ่มันจะมีบุญกุศลมารองรับ แล้วมันจะผ่านวิกฤตนั้นไปได้ แต่ถ้าผู้ที่ไม่มีบุญกุศล เวลาวิกฤตจะเจ็บช้ำน้ำใจขนาดไหน ทำไมทำดีแล้วไม่ได้ดี

ทำดีต้องได้ดี แต่ความดีจะให้ผลขนาดไหน ดูสิ เวลาแดดมันออก เห็นไหม ถ้าเราอยู่ในที่ร่ม แดดนั้นจะให้ผลกับเราไหม เวลาแดดออกถ้าใครมีแผงโซล่าเซลล์เขาจะได้ประโยชน์ของเขา เขาจะเก็บพลังงานนั้นมาใช้ นี่ก็เหมือนกันทำดีกับใคร เรารู้จักการอยู่กลางแดดไหม เรารู้จักเก็บพลังงานนั้นไหม เวลาแดดออกเราก็ไม่อยู่กลางแดด เราไปหลบอยู่ในที่ร่ม เราไปหลบในที่ต่างๆ เราไปหลบในถ้ำ ในที่ไม่มีแสงแดด นี่ก็เหมือนกันการทำดีนั้นเราทำดีกับใคร สัจธรรมมันเป็นผลแน่นอนอยู่แล้ว เราทำดีของเรา เราเสียสละของเรา เราพอใจของเรา

สิ่งที่เราเสียสละไปแล้ว ปฏิคาหก ผู้ให้ให้ด้วยความบริสุทธิ์ ผู้รับรับด้วยความบริสุทธิ์ สิ่งที่บริสุทธิ์มันเป็นสัจธรรม มันให้ผลร้อยเปอร์เซ็นต์เลย แต่ถ้าผู้ให้ไม่บริสุทธิ์ คือเราคาดเราหมายอะไรต่างๆ เข้าไป ใหม่ๆ จะเป็นอย่างนี้หมด โดยธรรมชาติของกิเลสมันตระหนี่ถี่เหนียว จึงต้องมีการเสียสละเพื่อเข้าไปต่อสู้กับมัน

การเสียสละวัตถุก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่การเสียสละนี้ก็จะต้องต่อสู้กับจิตใจต่อสู้กับกิเลสของเรา พอมีการต่อสู้กับกิเลส มันก็ได้ฝึกใจให้มีการกระทำ ฝึกใจให้ต่อสู้กับตนเอง ถ้าชนะตนเองแล้วมันก็จะเจือจานเขาได้ มันจะเห็นแก่สังคม มันจะเผื่อแผ่เขาได้ มันจะมีเมตตา มันจะมีคุณธรรม

พอเรามีเมตตา เราก็จะไม่มีโทสะ พอเรามีเมตตาใช่ไหม สิ่งใดเกิดขึ้นมามันก็เป็นสายบุญสายกรรมกันทั้งนั้น ถ้าเรายอมรับ มันก็ไม่เกิดอคติ ไม่เกิดปฏิฆะ ไม่เกิดความไม่พอใจให้อารมณ์ของเราขุ่นมัว แต่ถ้าเราไม่เข้าใจสัจธรรมมันก็จะขุ่นมัวไปหมด ไม่พอใจขัดข้องอึดอัดไปหมดเลย แต่ถ้ามันพอใจแล้วนะ มันจะเข้าใจสัจธรรม มันเป็นอย่างนี้เอง มันเป็นสายบุญสายกรรม เราทำไว้เองมันก็เลยต้องมีสภาวะแบบนี้ ถ้าเราไม่ทำเอาไว้มันจะไม่มาประสบกับเรา แล้วถ้าเราทำดี ความดีก็จะประสบกับเรา ถ้าเราเคยทำสิ่งที่ไม่ดีไว้มันก็ต้องมีสิ่งที่มากระทบกระเทือนเรา สิ่งที่มากระทบกระเทือนเรา จำไว้เลยว่ามันเป็นผลของกรรม มันเป็นวิบากจากการกระทำ เราถึงต้องตั้งใจทำแต่สิ่งที่ดีๆ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดไว้นะ “ทำสิ่งใดแล้วเสียใจภายหลัง นั่งร้องไห้ สิ่งนั้นไม่ดีเลย” แต่ถ้าทำสิ่งใดแล้วไม่เสียใจ รื่นเริงอาจหาญมีความสุขใจ เห็นไหม แต่กิเลสมันมีอำนาจเหนือใจเรามันทำให้เราทำดีไม่ได้ ถ้าทำสิ่งใดแล้วเสียใจในภายหลัง เราก็ต้องมีสติ อย่าให้ทำไปแล้วมาเสียใจภายหลัง ในปัจจุบันนี้เราก็หักห้ามใจของตัว ถ้ามันอยากทำในสิ่งที่ไม่ดี บังคับมันอย่าทำ แล้วถ้าสิ่งที่ดีๆ เราก็ต้องเหยียบคันเร่ง ทำแต่สิ่งที่ดีๆ ทำเพื่อเรา แล้วเราจะไม่เสียใจภายหลัง

กาลเวลาผ่านไป ทุกคนเวลาผ่านมาก็จะเสียดายเวลาทุกคนเลย ถ้ารู้อย่างนี้แล้วจะไม่ทำอย่างนี้ แต่เวลาปัจจุบันทำไมเราไม่รู้อย่างนี้ล่ะ ทำไมเราไม่ตั้งสติล่ะ ตั้งสติของเราไว้ แล้วเราฝืนมัน ฝืนกิเลสไว้ ทำแต่สิ่งที่ดีๆ แล้วชีวิตเราจะประสบแต่ความสำเร็จ ชีวิตเราจะมีคุณค่า ชีวิตเรานะเราทำเพื่อเราทั้งนั้น การเสียสละการทำให้คนอื่น แต่มันก็เป็นผลของเราทั้งนั้น เพราะมันจะเป็นบารมีธรรม มันเป็นธรรมสังเวช เวลาเห็นเขาทุกข์ยาก แล้วมันสลดสังเวช ถ้าเราทำสิ่งดีๆ แล้วมันก็ย้อนกลับมาที่เรา จะเป็นผลประโยชน์ของเราทั้งหมดเลย

แต่กิเลสมันไม่ยอม กิเลสมันปิดตา มันจะบอกว่าเราเสียๆ แต่ถ้าเป็นธรรมจะบอกว่าเราได้ๆ คือเราได้สัจธรรม เราได้คุณธรรม แต่เราสละสิ่งที่เป็นวัตถุออกไป เพราะ มันเป็นวิธีการฝึกใจ มันต้องมีการเสียสละ มันต้องมีการกระทำ ถ้าไม่มีแล้วเราจะฝึกใจได้อย่างไร นี่คือวิธีการฝึกที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเด็กๆ สอนเรื่องของทาน สอนพวกเราที่ตามืดบอด แต่ถ้าคนที่ภาวนาไปแล้วมันเห็นผล มันอยากจะทำ มันเห็นผลของมัน เพราะปัจจัตตัง รู้จำเพาะตน มันเห็นนะ สันทิฏฐิโก ปัจจัตตัง ใจมันรู้เอง ใจเห็นเอง ใจปลดเปลื้องเอง แล้วใจจะพบคุณธรรมเอง เอวัง